บทความการลงทุน
42 เคล็ดลับการลงทุน … โจ ลูกอีสาน
*** ทางเว็บไซต์เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ต่อนักลงทุน จึงขอนำมาแชร์ต่อครับ *** == 42 เคล็ดลับการลงทุน … โจ ลูกอีสาน “ผมเรียนไม่เก่ง จบเกรดเฉลี่ย 2.56” เป็นคำเกริ่นนำของพี่โจ ลูกอีสาน ในงานสัมมนาการกุศล VI Know How Charity ครั้งที่ 6 แต่ก็เป็นพี่โจที่สามารถเปลี่ยนหลักในพอร์ตจากเงินเริ่มต้นไม่ถึงล้านเมื่อ 20 ปีที่แล้วมาเป็นหลายหลักจนนับไม่ถูกในวันนี้ พี่โจมาแบ่งปันเคล็ดลับดี ๆ 42 ข้อในการลงทุน ที่พี่โจบอกว่าเป็น “คำแนะนำธรรมดา เพื่อกำไรที่ไม่ธรรมดา” มาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง 1) การลงทุนแบบ VI คือ วิธีการเปลี่ยนชนชั้นที่เป็นไปได้มากที่สุด เปรียบเทียบกับการสร้างธุรกิจที่ต้องรู้ทุกอย่าง แต่การลงทุนเราเก่งแค่เฉพาะบางจุดก็พอแล้ว ที่จะทำให้เราเปลี่ยนชนชั้นได้ ที่สำคัญคือเปลี่ยนจากล่างขึ้นบนนะ ไม่ใช่บนลงล่าง 2) ความสำเร็จที่ทุกคนเห็น ซ่อนเร้นเบื้องหลังที่ยากลำบาก การที่จะรวยเร็ว ๆ ง่าย ๆ ไม่มีทาง พี่โจต้องใช้เวลา 20 ปี ในการลงทุนจนประสบความสำเร็จ พี่โจบอกว่า เราต้องทำตัวให้สมควรที่จะได้รับมันถึงจะยุติธรรม ปัญหาคือ จะมีสักกี่คนที่ลงมือทำแบบนี้ (แต่ถ้าใครทำงานหนักแล้วยังไม่รวย ลองพิจารณาดูว่าเราทำผิดวิธีหรือเปล่า) 3) คุณภาพ / ราคา = ความคุ้มค่า นี่คือจิตวิญญาณของ VI ถ้าเจอหุ้นดีราคาถูก ต้องซื้อให้เยอะ แต่ถ้าเจอหุ้นแย่ ราคาแพง ต้องขายให้ไว 4) VI ไม่ใช่แค่ “วิธี” แต่เป็น “ปรัชญา” คุณจะไม่มีวันทำได้ดี ถ้าไม่ได้ทำออกมาจาก “ใจ” 5) ความเชื่อต้องฝังเข้าไปในกระดูก เลือด และเส้นเอ็น จะเป็น VI ต้องผ่านข้อนี้ให้ได้ ต้องเข้าใจว่า หุ้นและธุรกิจ คือสิ่งเดียวกัน มันจะเป็นยันต์เสื้อเกราะคุ้มครองเราไปตลอดชีวิต 6) ครึ่งหนึ่งของการลงทุนให้สำเร็จอยู่ที่การเลือกอาจารย์ให้ถูกคน ให้ระมัดระวังการเลือก “Idol” เพราะเค้าจะเป็นต้นทางในการลงทุนให้เรา การเลือกผลไม้พิษย่อมให้ผลที่เป็นพิษ เลือกแนวคิดที่ผิดย่อมไปไม่ถึงจุดหมาย พี่โจแนะนำให้ไปดูหนังสือ “The world 99 Greatest Investors” เกินครึ่งของนักลงทุนในหนังสือเล่มนี้ที่ประสบความสำเร็จ ลงทุนแบบ VI รวมถึง ดร.นิเวศน์ ก็เป็นตัวอย่างนึงในหนังสือเล่มนี้ด้วย 7) เสือทุกตัวย่อมมีเส้นทางของมัน เราเลือกอาจารย์ถูกคนแล้ว แต่ไม่จำเป็นว่าเราต้องเดินตามหรือซื้อหุ้นตามอาจารย์ทุกอย่าง แต่เราควรเชื่อมั่นในแนวทางหรือแบบแผนที่เราเป็นมากกว่า อย่างพี่โจเองก็ไม่เคยซื้อหุ้นตาม ดร.นิเวศน์เลย แต่ก็มีแอบแซวว่า ดร. มีหุ้นเหมือนพี่โจหลายตัวเหมือนกัน 8) อุดมการณ์กินไม่ได้ แต่มันทำให้เรารู้ว่า “เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร” พี่โจประกาศชัดเจนมากว่าจะไม่ใช้ Insider ไม่ไป Company Visit จะตามข่าวที่เผยแพร่เป็น Public เหมือนคนทั่วไป ถ้าเราลงทุนแล้วผลตอบแทนไม่ดี อย่าคิดว่าคนอื่นโกงเรา ให้โทษตัวเองก่อนดีกว่า พี่โจบอกว่าใครมี inside อะไรไม่ต้องโทรหาแกนะครับ ไม่ใช่อะไร เดี๋ยวแกหวั่นไหว 9) พลังของก้าวย่าง (พี่ตูน) คือเรื่องของ “ระยะเวลา” เป็นหนึ่งตัวแปรของสมการการทบต้น (เงินต้น ผลตอบแทน และระยะเวลา) พี่โจบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องเสี่ยง แค่อาศัยความอึด เดินทางหมื่นลี้ก็ต้องเริ่มทีละก้าว เราจะไม่ถึงจุดหมายได้อย่างไร ถ้าเราไม่หยุดเดิน เหมือนกับที่พี่ตูนย่างก้าวไปเรื่อย ๆ ทุกวันจนถึงเส้นชัย 10) อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม คบหาพูดคุยกับคนกลุ่มเดียวกัน เติมพลังให้กัน บางทีการอ่านหนังสือ บทกวี หรือฟังเพลง ก็ให้กำลังใจเราได้ 11) ข้อนี้ไม่มี พี่โจน่าจะตกหล่นไป เข้าใจได้เพราะแกนั่งทำสไลด์ถึง 5 ทุ่ม 12) อย่าติดกับดักปันผล VI หลายคนหวังปันผล ตายมาเยอะแล้ว เพราะปันผลมันมาจากกำไรในอดีต บางครั้งมาจากกำไรพิเศษ หรือกำไรที่ดีเกินจริงในปีนั้น บางที Capital Gain มันลงมากกว่าปันผลที่ได้รับซะอีก เราต้องมองว่า คุณภาพของปันผลคือสิ่งที่เราต้องการ ต้องดูหุ้นที่ปันผลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และคาดการณ์ได้ แบบนี้ถึงจะปลอดภัย 13) หุ้น คุณ ฆ่า VI คือ หุ้นวัฏจักร ปัญหาแรกเลยคือ นักลงทุนไม่รู้ว่าเป็น หุ้นวัฏจักร กำไรมันมาเป็นรอบ ๆ เราดันไปซื้อหุ้นตอนที่มันดีกว่าปกติ เราไม่รู้ว่าจุดที่ดีที่สุดกลับกลายเป็นอันตรายที่สุด และเราก็จะขายตอนที่มันแย่กว่าปกติ แล้วมันก็จะเด้งกลับขึ้นไป เรียกว่าครบสูตรเลยทีเดียว เช่น หุ้นพลาสติก ต้นทุนสูง ตอนราคาน้ำมันแพง พี่โจบอกว่า “นักรบทุกคนย่อมมีบาดแผล แต่ขอให้เป็นแผลของคนอื่นดีกว่า” 14) คุณภาพของกำไรสำคัญมาก ๆๆๆๆๆ ตลาดจะให้ราคาสูงกับหุ้นที่กำไรเติบโตยั่งยืน และ พร้อมกระทืบหุ้นที่คุณภาพกำไรย่ำแย่ เช่น หุ้นอสังหา ตลาดก็จะให้ PE ต่ำ เพราะกำไรมาไม่สม่ำเสมอ 15) ทำทะเลให้แคบลง ขังปลาให้อยู่ในสุ่ม แล้วค่อยเอามือจับปลาขึ้นมาง่ายกว่า ตลาดมีหุ้น 700 กว่าตัว ให้เราขจัดหุ้นที่เราไม่เข้าใจ หุ้นที่ผู้บริหารไม่น่าคบ หุ้นที่ติดตามไม่ได้ กำไรเป็นเต่า (คือไม่เติบโต) หุ้นที่อยู่ในกระแส (เพราะราคาจะ price in ไปหมดแล้ว) แล้วเราก็จะเหลือหุ้นอยู่ไม่กี่ร้อยตัวให้มาพิจารณาต่อได้ง่ายกว่า 16) อย่าจับจด คือ อย่าเพ่งไปที่ประเด็นเล็ก ๆ ที่ไม่สำคัญ ทำให้พลาดภาพใหญ่ในการลงทุน เช่น หุ้นค้าปลีกบางตัว เคยมีดราม่าเรื่องผู้บริหาร หุ้นสื่อสารบางตัวมีประเด็นเรื่องประมูลคลื่น เราก็ต้องมาดูแบบองค์รวมว่ารับได้มั้ย เพราะไม่มีหุ้นไร้ตำหนิ เราต้องอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบให้ได้ 17) ซื้อหุ้น PE สูง เหมือนปีนต้นไม้สูง ถ้าพลัดตกลงมาอาจตายได้ แต่ถ้าเป็นหุ้น PE ต่ำ เหมือนเราปีนต้นไม้เตี้ย ตกลงมาก็แค่จุก ซึ่งเราไม่น่าจะเจอ Floor ในหุ้น PE ต่ำ 18) In valuation, you don’t have to be accurate เวลาประเมินราคา เราแค่ต้องการตัวเลขคร่าว ๆ อยู่ในกรอบราคา แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้ตัวเลขเป๊ะ ๆ และ valuation is dynamic คือ มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเมื่อเวลาผ่านไปหรือมีเหตุการณ์อะไรผ่านไป ให้คิดว่าทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง 19) การวิเคราะห์หุ้น คือ การวิเคราะห์กำไรว่ามันจะขึ้นหรือลงแค่นั้นเอง ถึงแม้ว่าเราจะวิเคราะห์ผู้บริหาร ดูทุกอย่าง แต่สุดท้ายแม่น้ำทุกสายจะไหลมารวมกันที่ “กำไร” และจะเป็นตัวที่ส่งผลถึงราคาหุ้นในท้ายที่สุด 20) โชคชะตาจะเล่นตลกกับเราเสมอ ให้คิดว่า โขคร้านจะมาหาเราคนแรกเสมอ และเราจะดวงซวยที่สุดในโลก ทำให้เราไม่ประมาทและเตรียมหาทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน เช่น หุ้นบางตัวถามผู้บริหารว่ากลัวอะไรที่สุด คำตอบคือ กลัวไฟไหม้ แล้วไฟก็ไหม้โรงงานจริง ๆ ไม่ใช่แค่นั้นเจอน้ำท่วมอีก พี่โจเล่าว่ามีน้องคนนึงตามไป meeting ที่หาดใหญ่กับแกตลอด ถือหุ้นตัวนี้แบบ All-in ใช้ margin ด้วย และอีก 2 เดือนจำเป็นต้องใช้เงิน พอเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ ราคาหุ้นตกหนัก จนถึงวันนี้น้องคนนั้นก็ไม่ได้ติดต่อพี่โจอีกเลย ใครรู้จักน้องคนนี้ ฝากบอกน้องด้วยครับว่าพี่โจเป็นห่วง ติดต่อหาแกหน่อย 21) น้ำท่วมมหาสมุทร หรือ จะสู้เกลือกำมือเดียว “น้ำ” ก็คือข้อมูลข่าวสารที่ไหลบ่ามาท่วมเราตลอดเวลาทั้งจากใน Line, Facebook หรือตามที่ต่าง ๆ แต่นักลงทุน VI ควรโฟกัสสิ่งที่เป็น “เกลือ” นั่นก็คือ กำไรของบริษัทมากกว่า 22) “ระยะห่างของเวลา” ทำให้ราคาหุ้นไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเต็มที่ เพราะอนาคตไม่แน่นอนและนั่นทำให้เกิดช่องว่างที่สร้างโอกาสในการลงทุนให้กับเรา ยกตัวอย่างให้เห็นชัดก็คือ หุ้น SF ตอบรับข่าวดีที่ IKEA จะมาเช่าที่เปิดร้าน ราคาหุ้นขึ้นทันที 15% หลังจากนั้นก็ยังขึ้นมาเรื่อย ๆ 30-40% แต่กว่าที่พี่โจจะมาซื้อก็ที่ new high เพราะคิดแล้วว่า โอกาสที่ IKEA จะเจ๊งยากมาก พอซื้อไปราคาก็ตกลงไปซัก 10% แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาถึง 40-50% ยิ่งห้างใกล้เปิด คนรู้เยอะขึ้น ราคาก็ขึ้น คือพี่โจจะบอกว่ามันมี Gap เรื่องของการประเมินกำไรใรอนาคต แล้วให้เราเปรียบเทียบกับราคาปัจจุบันดู ว่ามันคุ้มค่ากับเวลาที่ต้องรอคอยมากน้อยแค่ไหน อย่างหุ้นโรงไฟฟ้าตัวนึงที่แกมีและราคาวิ่งขึ้นไปก็ใช้แนวคิดเดียวกัน พี่โจบอกว่าใช้หลักการแบบนี้ในการหาหุ้นอยู่บ่อย ๆ 23) เลิกทาสกันเถอะชาวหุ้น ตื่นเช้าต้องดู Dow Jone ระหว่างวันดู SET Index ตกเย็นดูต่างชาติซื้อหรือขาย สิ่งเหล่านื้คือ “น้ำ” เป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนคิดและตอบสนองคล้าย ๆ กันในตลาด ซึ่งมันอาจไม่เกี่ยวกับกำไรของหุ้นที่เราสนใจ 24) หุ้นเป็นได้แค่ “แฟน” ห้ามแต่งงานด้วย ให้จำไว้ว่า ความผูกพันธ์คือศัตรูของการลงทุน อย่ารักหุ้น เพราะจะทำให้เราตาบอด เราควรร่วมหัว แต่ไม่จมท้าย เหมือนหุ้นอย่าง BEC เคยมี market cap เป็นแสนล้าน แต่วันนี้เหลือแค่หมื่นล้าน 25) นักลงทุนไบโพลาร์ เราต้องมองโลกในแง่ดีในวันที่มีแต่ความมืดมิด แต่ต้องมองโลกแง่ร้ายในวันที่ทุกอย่างสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงไหนตลาดดี ๆ ต้องกลัวให้เยอะ แบ่งมาถือเงินสดบ้าง 26) This too shall pass แล้วมันจะผ่านไป บางวันเราผิดหวัง บางวันเราสมหวัง อย่าจมกับมัน ให้เดินไปข้างหน้า แล้วเวลาจะเยียวยา กลบฝังมันไปเอง ทุกอย่างมันจะผ่านไปได้ในที่สุด 27) เหตุผลที่ฟังดูเข้าท่ามากในวันนี้ กลับกลายเป็นเหตุผลที่ปัญญาอ่อนในวันรุ่งขึ้น บางวันหุ้นตกหนักมากเพราะกังวลอเมริกาเลิก QE กังวลขึ้นดอกเบี้ย แต่วันรุ่งขึ้นกลับบวกอย่างแรง แล้วบอกว่าเมื่อวานขายมากเกินไป 28) อย่าเพียรหาสูตรสำเร็จ เป็น VI ต้องยืดหยุ่น ปรับตัว เพราะถ้ามีสูตรที่ใคร ๆ ก็ทำได้ พอมีคนทำตามเยอะ ๆ มันก็จะไม่ได้ผล เช่น อย่าไปยึดติดว่าจะต้องซื้อแต่หุ้น PE ต่ำ อย่างบัฟเฟตเองก็มาซื้อหุ้นเทคที่มีกำไรสูงมีการเติบโต 29) ฟังเสียงตัวเธอเองบ้าง “เมื่อมั่นคงในหลักกการ จงมั่นใจในผลลัพธ์” หลายครั้งที่เราชอบฟังเสียงคนอื่น คนที่เราคิดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่จริง ๆ ถ้าเราทำการบ้านมาดีแล้ว ก็ควรมั่นใจในตัวเองให้มาก 30) VI เป็นขบถเสมอ VI จะไม่ตามกระแสสังคม ไม่เชื่อคนง่าย VI จะไม่จำนนต่อกระแสสังคม แต่จะตอบโต้ด้วยความรู้ ไม่ใช่ความดื้อรั้น VI จะถูกด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง ไม่ใช่ถูกเพราะคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับคุณ VI จงเป็น Lone Wolf ที่จะแข็งแกร่งกว่าการอยู่ในฝูง 31) ท่ามกลางความผันผวนมีโอกาส VI ดำรงอยู่ได้เพราะมีความ mismatch ในระยะสั้น มันจะมีความไม่มีเหตุผลของราคากับกำไร แม้นายตลาดอาจจะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนคนเป็นไบโพลาร์ แต่เขาไม่ใช่คนโง่ ในระยะยาว เค้ามีสติ ราคาจะวิ่งตามกำไรเสมอ 32) อยากเป็น VI ต้องรอดัชนี 400 จุด ? จำเป็นหรือ ที่จะต้องหาหุ้นเจอตอนวิกฤตเท่านั้น หรือ จริง ๆ แล้ว ถ้าเราทำการบ้านอยู่ตลอด เราก็จะหาหุ้นเจอ เพราะในช่วงวิกฤตก็ยังมีหุ้นที่เติบโตได้อยู่ หุ้นต่ำกว่ามูลค่ามันมีอยู่ตลอด รอแค่เราไปเจอมันเท่านั้น 33) ไม่ต้องแสวงหา วิกฤตจะมาหาเราเอง วิกฤติจะมาตอนเราไม่ทันตั้งตัวเสมอ เราแค่ต้องขี้ระแวงและระวังอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยมีใครรวยเพราะคาดการณ์วิกฤตได้ มันมีสัญญาณลวงเยอะ 34) Performance the name of the game วิธีการไม่สำคัญเท่าผลลัพธ์ (ระยะยาว) จะ VI, Technical, Fund Flow หรือ มโนศาสตร์ ทำแล้วได้กำไรก็ทำไปเถอะ แต่พี่โจเชื่อว่า จะดีกว่ามั้ยถ้าเดินไปในทางที่มีคนแผ้วถางไว้แล้ว นั่นก็คือทางแบบ VI 35) กูไม่กลัวมึง มึง ในที่นี้คือ วิกฤต หรือช่วงเวลาที่เลวร้าย เราหลบมันไม่ได้ ยังไงก็ต้องมา เราต้องพร้อมเจอ แต่ให้เหลือ “ใจ” ของเราไว้ให้พร้อม 36) อย่าถัวจนตัวตาย - อย่าถัวมั่ว ๆ ตายแน่นอน อย่าถัวเพื่อกลบเกลื่อนความผิด ทำให้จาก -50% เหลือ -25% แล้วสบายใจ - ลองถามตัวเองว่า ตอนแรกเราประเมินราคาต่ำกว่ามูลค่าแล้วใช่มั้ย แล้วทำไมมันยังลงต่อล่ะ เพราะเราไม่เข้าใจมันตั้งแต่ต้นหรือเปล่า ถ้าใช่ให้หลีกเลี่ยงการถัว - แต่ถ้าจะถัวก็ต้องมั่นใจในเหตุผลที่ชัดเจนมาก ๆ หรือไม่ก็เพราะเรายังมีหุ้นไม่มาก เราต้องมีการ limit position ไม่ให้ตัวเองตาย ถ้าสุดท้ายถ้ามันแย่จริง ๆ 37) รู้ว่าเป็นขี้ ไม่ต้องเอานิ้วไปจิ้ม เพื่อให้สำเร็จ ไม่เพียงแต่หาหุ้นดี แต่ต้องหลีกเลี่ยงหุ้นเลวด้วย เพราะเราอาจหมดตัวได้ หุ้นตัวไหนเรารู้ว่าธรรมภิบาลไม่ดีก็อย่าไปยุ่ง โปรดจงรู้ว่า ขี้ในตลาดหุ้นไทยมีเยอะกว่าที่เราคิด 38) รู้ว่าจะตายที่ไหน อย่าไปที่นั่น การกู้เงินเล่นหุ้น All in ตัวเดียว การพนัน ยาเสพติด เพื่อนไม่ดี ถ้าเรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ดีก็อย่างไปยุ่ง 39) วิธีการที่ผิด บางครั้งให้ผลที่ถูก นาฬิกาที่เสีย ยังบอกเวลาที่ถูกได้ 2 ครั้งต่อวัน ทำให้เราสับสนได้ เพราะฉะนั้นในระยะยาว วิธีที่ผิดจะเอากำไรคืนจากเราไปทั้งหมด 40) คนฉลาดซื้อกองทุน (หุ้น) ซื้อกองทุนรวมที่เป็นหุ้น ได้ผลตอบแทน 7-8% วิธีการแบบนี้คือการเกษียณสบาย อาจไม่รวย แต่รับรองว่าไม่จนแน่นอน 41) ต้นทุนของฝันที่เป็นจริง คือ “การลงมือทำ” ถ้าฝันแล้วไม่ทำ คือ ฝันกลางวัน พลาดไปแล้ว ไม่เป็นไร ลงทุนช้า ไม่เป็นไร เวลาเหมาะสุดที่จะเริ่มคือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เวลาที่เหมาะสมรองลงมาคือ “วันนี้” 42) เงินใช้สร้าง “ความสุข” เราคือเจ้านายของเงิน ไม่ใช่ทาส เงินมีเอาไว้ใช้ เพื่อตัวเอง เพื่อคนที่รัก และเป็นประโยชน์ต่อสังคม เหมือนอย่างที่พี่โจถอนเงินให้ภรรยา 1,111,111 บาท จนพนักงานสาวที่ธนาคารแปลกใจ และอดที่จะถามไม่ได้ว่า พี่ถอนเงินไปทำอะไรคะ พร้อมกับพูดเล่น ๆ ต่อมาว่า “หนูอยากเป็นแฟนพี่บ้างจังเลย” ส่วนพี่โจตอบว่ายังไงให้ไปถามกันเอาเองครับ Cr : #VIKH6 #โจลูกอีสาน #วิตามินหุ้น ขออนุญาต Tag พี่หมอนุ่นครับ Jatuphon Noon Suwanpinij